วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ตู้แอมป์: เทคนิคและเคล็ดลับในการตั้งวงดนตรี

การเป็นนักดนตรีไม่ยากถ้าขยันเรียนรู้และฝึกซ้อม แต่การที่จะไปเล่นแจมกับผู้อื่นหรือตั้งวง ก็ยากมาก เพราะต้องใช้เวลาในการฝึกซ้อมร่วมกัน ยิ่งในวงมีสมาชิกหลายคน ก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทำความเข้าใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว ต้องอาศัยการฝึกซ้อมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ถึงเวลาต่างคนต่างเล่น นี่เป็นเทคนิคหรือเคล็ดลับในการที่เราจะทำวงดนตรีขึ้นมาสักวงต้องเรียนรู้ ระบบในการเล่น สิ่งเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่มีโอกาสเล่นวงดนตรีมานานกว่า 15 ปี และพร้อมที่จะแบ่งปันให้กับท่านทุกคนได้เรียนรู้
     1. วงดนตรีมักจะมีผู้เล่นเครื่องดนตรีหลักๆ คือ กลองชุด,กีตาร์เบสส์,กีตาร์คอร์ด,กีตาร์โซโล่,คีย์บอร์ด เรียกว่า “วงคอมโบ” หรือปัจจุบันมักเรียกว่า “วงสตริงส์” บางวงอาจมีผู้เล่นเครื่องดนตรีมากกว่านี้ เช่น ไวโอลิน,แซกโซโฟน,ทรัมเปต,เครื่องเคาะจังวะ หรือ เพอร์คัซซัน หรืออื่นๆ ตามแต่ที่วงของเราจะเล่นในแนวไหน และใช้เครื่องดนตรีอะไรมาประกอบ
     2. ผู้เล่นกีตาร์หรือเบสส์มักจะใช้อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ต่อพ่วง เพื่อให้เสียงแปลกไปจากเสียงเดิมๆ เรียกว่า “เอฟเฟค” เอฟเฟคมีหลายแบบ หลายเสียง ตามแต่เราจะเลือกที่จะนำมาใช้ เช่น โอเวอร์ไดร์ฟ,ดิสทอร์ชัน,คอรัส,วาว วาว,คอมเพซเซอร์,ซัสเทน หรืออีควอไลเซอร์ เอฟเฟคจะมีทั้งแบบเสียงเดี่ยว และเสียงรวม มีแบบดิจิตัลที่สามารถผสมเสียงและแต่งเสียงตามใจชอบได้ เอฟเฟคมีราคาตั้งแต่พันกว่าบาทขึ้นไปจนถึงหลักหมื่น
    3. ตู้แอมป์สำหรับเครื่องดนตรีควรแยกเฉพาะ เช่น ของกีตาร์ ก็เป็นตู้แอมป์กีตาร์ ของเบสส์ก็เป็นตู้แอมป์เบสส์ ของคีย์บอร์ดก็ต้องเป็นของคีย์บอร์ด ไม่ควรนำมาใช้เรื่อยไป เพราะความแตกต่างของสัญญาณ Input ของเครื่องดนตรีมีความแตกต่างกัน เช่น ถ้าเอาตู้แอมป์เบสส์มาเล่นกับคีย์บอร์ด จะทำให้เสียงคีย์บอร์ดออกมาในโทนเสียง Bass ไม่สดใส หรือเอาตู้แอมป์กีตาร์มาเล่นเบสส์ จะทำให้ตู้แอมป์นั้นพังได้ เพราะสัญญาณ Input เบสส์ จะเป็นเสียงต่ำ ลำโพงก็มีขนาดเล็กกว่า อาจทำให้ลำโพงขาดได้ เป็นต้น
     4. แผงหน้าปัดตู้แอมป์ หรือ เครื่องขยายเสียง จะมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งเราจะต้องเข้าใจ สามารถต่อสายหรือปรับแต่งได้ถูก เพราะถ้าต่อผิดอาจจะทำให้ตู้แอมป์ช็อต หรือพังได้ ซึ่งมีความหมายดังนี้
  • Input = คือสัญญาณที่เข้ามายังตู้แอมป์ เช่น จากเทป,จากเครื่องซีดี,วิทยุ จากปรีแอมป์ (Pre Amp) หรืออีควอไลเซอร์ เป็นต้น ซึ่งสัญญาณจะต้องเป็นเพียงสัญญาณเสียงเท่านั้น
  • Aux = คือสัญญาณที่ต่อเข้า เหมือน Input แต่จะเป็นสัญญาณเสียงจาก เทป หรือ เครื่องเล่นซีดี เป็นต้น
  • Mag = จะเป็นช่องต่อสัญญาณที่มีการขยายวงจรค่อนข้างสูง ใช้กับเครื่องเล่นแผ่นเสียง เราไม่สามรถต่อสัญญาณเสียงจากเทป หรือเครื่องเล่นซีดีเข้าช่องนี้ได้ เพราะสัญญาณจะถูกย้ายให้แรงมาก จนเสียงที่ออกมาแตกพร่า
  • Output = คือสัญญาณออก เช่น Output ของปรีแอมป์จะต่อเข้า Input ของตู้แอมป์ เป็นต้น
  • SP. หรือ SPK หรือ Speaker = คือจุดต่อสายออกไปยังลำโพง บางเครื่องจะมีการต่อไปยังลำโพงหลายแบบ เช่น 8 โอห์ม คือต่อลำโพงที่มีอิมพิแดนซ์ 8 โอห์ม หรือ 4 โอห์ม หรือ 16 โอห์ม (ลำโพงฮอร์น)
  • Vollume = คือปุ่มปรับเร่ง-ลดเสียง
  • Bass = คือปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียงเบสส์ หรือ โทนเสียงต่ำ
  • Treble = คือปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียงแหลม
  • Balance = คือปุ่มปรับแยกความสมดุลย์ซ้าย-ขวา ในกรณีที่เป็นแอมป์ระบบสเตอริโอ Sterio
  • Middle หรือ Mid = คือปุ่มปรับเสียงกลาง
  • Hi = คือช่องต่อสัญญาณเข้าให้เสียงค่อนข้างใด หรือแหลมจากปกติ (ส่วนใหญ่พบที่แอมป์กีตาร์หรือเบสส์)
  • Low = คือช่องต่อสัญญาณเข้าให้เสียงต่ำ หรือกรองเสียงแหลม ตรงกันข้ามกับ Hi
  • SW. หรือ Power On-Off = เป็นสวิชท์เปิด-ปิดเครื่อง On คือเปิด Off คือ ปิด
  • Pre out = คือจุดที่จะต้องสัญญาณปรีแอมป์ออกไปยังเครื่องขยายเสียง
  • Pre in = คือจุดที่ต่อสัญญาณเข้า เหมือนกับ Input หรือ Aux
  • LED = คือหลอดไฟที่แสดงให้เห็นว่ามีกระแสไฟเข้ามายังเครื่อง หรือทำงาน
  • VU. = คือหลอดไฟ LED หรือ เข็มมิเตอร์ที่แสดงระดับของสัญญาณ
  • Echo = คือจุดต่อหรือปุ่มปรับเสียงให้ก้อง สะท้อน (ส่วนใหญ่จะใช้ต่อกับไมโครโฟน)
  • Mic = ย่อมาจาก Microphone ก็คือไมโครโฟนที่ใช้สำหรับพูด ที่แอมป์จะมีรูแจ๊คที่ต่อไมค์ มักจะพิมพ์ว่า MIC
  • Boost = คือปุ่มปรับระดับสัญญาณให้แรงขึ้น หรือเพิ่มขึ้น
  • Cut = คือปุ่มปรับระดับสัญญาณให้ลดลง หรือตัดสัญญาณออกไป
  • Level = คือปุ่มปรับระดับสัญญาณ.ให้เท่ากัน หรือมาตรฐาน
  • AC. = คือกระแสไฟฟ้าสลับ หรือไฟบ้าน เช่น AC. 220 V. หรือช่องต่อสายไฟฟ้าไปยังไฟฟ้าบ้าน
  • DC. = คือกระแสไฟฟ้าที่มีขั้วบวก ขั้วลบ เช่นกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี เช่น DC. 12 V. หรือช่องต่อสายไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี หรือ อะแดปเตอร์ (หม้อแปลง)
  • Max. = คือระดับสูงสุด หรือเต็มที่ (maximum)
  • Min. = คือระดับต่ำสุด หรือน้อยสุด (Min กับ Max มักจะเจอตรงปุ่มวอลลุ่มปรับระดับเสียง) (minimum)
  • Phones = คือช่องต่อไปยังหูฟัง หรือออกไปยังแอมป์ที่ Aux
  • AV. In = คือช่องต่อสัญญาณภาพและเสียงเข้ามา (ย่อมาจาก Audio = สัญญาณเสียง Video = สัญญาณภาพ)
  • AV. Out = คือช่องต่อสัญญาณภาพและเสียงออกไปยังเครื่องรับ (เช่น จุดต่อ AV. Out จากเครื่องเล่น VCD ไปยัง
  • AV. In ของโทรทัศน์เพื่อให้มีภาพและเสียง)
  • Line in / Line out = คือจุดต่อเข้าและต่อออก คล้ายๆ Input หรือ Output หรือ AV. In / AV. Out ในกรณีของแอมป์กีตาร์หรือเบสส์ มักจะมีช่อง Line Out ก็คือจะต่อสายแจ๊คจากแอมป์นี้เข้าไปยังเครื่องมิกเซอร์ต่อไป
  • Mixer = คือเครื่องผสมเสียงทั้งหมด หรือรวมเสียงของเครื่องเสียงเครื่องดนตรีที่เล่น ไปยังเครื่องขยายเพื่อออกไปยังลำโพงจุดเดียวกัน (ส่วนใหญ่มักจะใช้กับงานแสดงบนเวที หรือกลางแจ้ง) เครื่องนี้จะต้องมีผู้ควบคุมดูแลที่มีความรู้ ความสามารถเรื่องเครื่องเสียง เพื่อฟังให้เครื่องดนตรีทุกชิ้น หรือเสียงร้อง ออกมาให้สมดุลย์ที่สุด
  • Ch. หรือ Chanel = คือช่องต่อสัญญาณเข้า เช่น CH 1 ก็คือช่องที่ 1 (ส่วนใหญ่จะมีในแอมป์ที่มี Mixer มากๆ) เป็นต้น..
    สนใจ อูคูเลเล่, โวโอลิน, ตู้แอมป์ และเครื่องดนตรีอื่นๆ
    ติดต่อได้ที่
    บริษัท บราโวมิวสิค จำกัด
    เว็บไซต์ : http://www.bravomusic.co.th
    ที่อยู่ : 1093/4 ถนนอรุณอมรินทร์ ศิริราช บางกอกน้อย, กรุงเทพ 10700
    โทรศัพท์ : (66) 02- 866-1152, (66) 028663251
    เบอร์มือถือ: (66) 082-824-6699
    แฟ๊กซ์. : (66) 02- 866-0694
    อีเมล์ : bravo@bravomusic.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น